ในอดีตหลายพันปีมาแล้ว นับตั้งแต่ยุคสมัยที่มนุษย์ ยังไม่มีตัวหนังสือเป็นเครื่องบันทึกเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ไม่มีศาสนา แต่พวกเขากลับมีความเชื่อ และมีความศรัทธาต่อสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นธรรมชาติ จนเป็นที่มาของการประดิษฐ์คิดค้นรูปสัญลักษณ์ต่างๆ อันเป็นเสมือนตัวแทนของเทพเจ้า ให้พวกเขาเคารพกราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว และหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญอันเป็นมงคลเหล่านั้นก็คือ วงกลม นั่นเอง


รูปวงกลมถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนดวงอาทิตย์ หรือเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง และจักรวาล ในอารยธรรมของชนชาติอียิปต์ เมโสโปเตเมีย มายา และอินคาเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว โดยผู้นำทางจิตวิญญาณในยุคนั้นได้มีการนำสัญลักษณ์รูปวงกลม มาทำเป็นเครื่องประดับสำหรับตกแต่งสถานที่ วิหาร บ้านเรือน และร่างกายของตนเอง ในรูปของเครื่องรางต่างๆ อาทิ รูปสลักเทวรูป และเครื่องประดับตกแต่งร่างกาย เช่น จี้ ต่างหู กำไล และแหวน เป็นต้น


โดยเฉพาะแหวน ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มีการริเริ่มใช้แหวน เป็นสัญลักษณ์แทนความหมายของแสงสว่าง และความรักอันเป็นนิรันดร์ระหว่างหญิงชาย มาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ซึ่งมีปรากฏหลักฐานในจารึกอักษรภาพเฮียโรกลิฟฟิคบนผนังวิหาร และสุสานต่างๆ เป็นต้น ครั้นเมื่อชาวกรีกแผ่อิทธิพลเข้ายึดครองอียิปต์ได้สำเร็จ ก็ได้รับเอาวัฒนธรรมนี้สืบต่อมา จนถึงยุคสมัยที่โรมันเรืองอำนาจ ซึ่งในยุคสมัยของชาวโรมันนี้เอง ที่มีการคิดประดิษฐ์แหวนหมั้นขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรก โดยฝ่ายชายจะมอบแหวนให้กับฝ่ายหญิงสองวงด้วยกัน คือ แหวนทอง และแหวนเหล็ก โดยหญิงสาวจะสวมแหวนทองในเวลาที่ต้องออกไปนอกบ้าน เพื่อประกาศให้ชายอื่นได้รู้ว่าตนนั้นมีคู่หมายแล้ว ส่วนแหวนเหล็ก หญิงสาวจะสวมใส่เฉพาะในเวลาอยู่กับบ้าน และทำกิจการงานต่างๆ นอกจากนี้ การสวมแหวน (โดยเฉพาะแหวนหมั้น) ยังมิได้มีความหมายถึงการแสดงความเป็นเจ้าของ และความรักชั่วนิรันดร์เท่านั้น แต่ยังมีความหมายรวมถึงมิตรภาพ ที่จะไม่มีวันสูญสลายตลอดไปอีกด้วย


กาลเวลาหมุนเปลี่ยนเวียนไป จนกระทั่งต่อมา วัฒนธรรมการสวมแหวนหมั้นได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรปตะวันตก กรีซ อเมริกาเหนือ ไอซ์แลนด์ และอังกฤษ โดยชายชาวกรีซจะสวมแหวนหมั้นแบบแหวนเกลี้ยง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวงกลม อันมีความหมายว่าจะมั่นคงตลอดไปชั่วนิรันดร์ และจะสวมแหวนหมั้นประดับเพชร ให้กับหญิงสาวที่ตนหมายปองที่นิ้วนางข้างซ้าย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นนิ้วที่มีเส้นเลือดส่งตรงไปถึงหัวใจ หรือที่เรียกกันว่า เส้นเลือดแห่งความรัก (Vein of love) ในขณะที่ชายหนุ่มชาวยุโรปในบางประเทศ นิยมที่จะสวมแหวนทองเกลี้ยงให้กับหญิงสาวที่ตนหมายปอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความซื่อสัตย์ จงรักภักดี และความรักอันไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเอง


อย่างไรก็ดี สำหรับการนำเพชรมาประดับบนตัวเรือนแหวนโลหะชนิดต่างๆ เช่น แหวนแพล็ตตินั่ม แหวนเงิน แหวนทองคำขาว และแหวนทองคำ เพื่อใช้เป็นแหวนหมั้นสำหรับสตรีชั้นสูง ได้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรก ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในราวปีคริสต์ศักราช 1477 แต่ก็ยังจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้น กระทั่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปราว 400 กว่าปีเศษ (ค.ศ. 1930) เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการนำเอาเพชรสังเคราะห์เข้ามาใช้ในระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น แหวนเพชร และแหวนหมั้นเพชร จึงเป็นเสมือนเครื่องประดับที่ผู้หญิงกว่า 80% จากสหรัฐอเมริกา สามารถสวมใส่ได้อย่างกว้างขวาง และมิได้จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะในกลุ่มของสตรีชั้นสูงอีกต่อไป เช่นเดียวกับในปัจจุบันเช่นกัน…


ทว่า อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์วงกลมของแหวนแต่ละชนิด ยังบ่งบอกความหมายที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการออกแบบ และการประดับประดาบนตัวเรือนแหวนอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น แหวนเพชร (หรือพลอย) เม็ดเดี่ยว จะบ่งบอกความหมายว่า รักเดียวนิรันดร์ แหวนเพชร (หรือพลอย) รอบนิ้ว หรือ Eternity ring จะบ่งบอกความหมายว่า รักนี้ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดกาล ส่วนแหวนเกลี้ยง (ซึ่งอาจทำจากเงิน ทอง นาค แพล็ตตินั่ม ทองคำขาว หรือโลหะอื่นๆ ก็ได้)แหวนชนิดนี้จัดเป็นแหวนที่มีดีไซน์เก่าแก่ที่สุด และคลาสสิกที่สุดก็ว่าได้ เพราะเป็นสัญลักษณ์และความหมายของวงกลมที่แท้จริง นั่นคือ รักนี้ดุจดังดวงตะวัน และการเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นต้น

 

บทความดังกล่าวข้างต้นจัดทำโดยทีมงาน บริษัท เลนญ่า จิวเวลรี่ จำกัด ทางเราจึงขอสงวนสิทธิ์ การคัดลอกเนื้อหาทุกบทความของทางบริษัทฯ
กรณีต้องการนำข้อมูลไปใช้หรืออ้างอิง กรุณาติดต่อทีมงานค่ะผ่าน LINE: @LenyaJewelry ค่ะ