เมื่อ “เพชรดิบ” ถูกค้นพบ ขั้นตอนสำคัญจากนั้นคือการนำมันมา “เจียระไน” การเจียระไนเพชร คือการทำให้เพชรเกิดรูปทรงสวยงาม เกิดประกายหักเหและสะท้อนแสงได้มากที่สุด แต่ก็ต้องรักษาน้ำหนักเพชรให้เหลืออยู่มากที่สุดด้วย ซึ่งการเจียระไนแบบดั้งเดิมคือการเจียระไนเพชรเป็นทรงที่เรียกว่า “ทรงกลมเหลี่ยมเกสร” ซึ่งทำให้เกิดเหลี่ยมมุมสะท้อนแสงรอบตัว แต่ในปัจจุบันมีการเจียระไนเพชรให้มีรูปทรงและรูปแบบที่หลากหลาย แม้จะมีผลให้เหลี่ยมมุมน้อยลงและประกายแสงลดลง แต่ก็ชดเชยด้วยรูปแบบที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับความต้องการของผู้สวมใส่มากขึ้น ใจปัจจุบันมีรูปทรงเพชรที่ได้รับความนิยมทั้งหมด 8 ประเภทดังนี้

รูปกลมเหลี่ยมเกสร (Round Shape : Brilliant Cut) ถือเป็นรูปแบบดั้งเดิมของการเจียระไนเพชร และเป็นรูปแบบที่คนทั่วไปรู้จักและจดจำได้มากที่สุด โดยมีด้านบนป้านใหญ่เกือบจะเป็นครึ่งวงกลม และด้านล่างแหลมเป็นกรวย รูปทรงแบบนี้ประกายของเพชรจะสะท้อนออกมาได้มากที่สุด สาเหตุหนึ่งทำให้เพชรกลมเหลี่ยมเกสรเป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากเป็นเพชรแบบมาตรฐาน ซื้อง่ายขายคล่อง ราคาซื้อกับราคาขายจะมีช่วงห่างกันน้อยที่สุดในบรรดาเพชรรูปทรงอื่น รวมทั้งยังใช้ได้หลายโอกาสและจัดเข้าชุดกับเครื่องประดับต่างๆ ได้ง่ายกว่ารูปทรงอื่นๆ ร้านค้าเพชรส่วนใหญ่จะมีเพชรกลมเหลี่ยมเกสรเป็นสินค้ามาตรฐาน

รูปไข่ (Oval Shape) การเจียระไนอัญมณีเป็นรูปไข่ เดิมนิยมใช้กับพลอย ไพลิน และทับทิม เนื่องจากเนื้อพลอยตัดง่ายกว่าเพชร จนกระทั่งในศตวรรษที่ 20 เทคนิคการเจียระไนได้รับการพัฒนามากขึ้น จึงเริ่มมีการเจียระไนในรูปไข่ ซึ่งแสดงหน้าเพชรได้ถึง 58 หน้าเช่นเดียวกับรูปกลมเหลี่ยมเกสร เพชรรูปไข่สะท้อนความเรียบ ความอ่อนหวาน และความหรูหรา นับเป็นเพชรที่ได้รับความนิยมในลำดับรองลงมา

รูปหัวใจ (Heart Shape) เพชรรูปหัวใจ จัดอยู่ในกลุ่มเพชรแฟนซีคัต ซึ่งประกอบด้วยเพชรรูปหัวใจ รูปหยดน้ำ รูปสี่เหลี่ยม และรูปมาคีส์ ซึ่งนอกจากกลุ่มนี้แล้วในบรรดาเพชรแฟนซีคัต ก็จะมีรูปทรงอีกหลากหลายตั้งแต่รูปว่าว ทรงตัด ต้นสน หัวม้า และรูปพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งในกลุ่มเพชรแฟนซีคัดนี้ เพชรรูปหัวใจได้รับความนิยมสูงที่สุด แต่ต้นทุนในการผลิตก็สูงที่สุด เพราะการเจียระไนจะต้องแล้วแต่ขนาดเพชร บางครั้งได้หัวใจอ้วน หัวใจยาว ตามขนาดเพชรที่นำมาเจียระไน โดยทั่วไปเพชรรูปหัวใจ ไฟและเหลี่ยมของเพชรจะไม่แวววาวเท่าเพชรกลม

รูปหยดน้ำ (Pear Shape) เพชรรูปหยดน้ำ หรือแพร์เชฟ เป็นเพชรรูปทรงธรรมชาติ เป็นเพชรอีกทรงที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นรูปทรงเรียบๆ ที่เข้าตัวเรือนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับชนิดใด จึงทำให้เป็นรูปทรงที่ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ เช่นกัน

รูปสี่เหลี่ยม หรือสี่เหลี่ยมพรินเซสส์ (Princess Cut) เพชรทรงสี่เหลี่ยมซึ่งมีส่วนบนราบเรียบ และรอบข้างสี่เหลี่ยมนี้ ได้รับการออกแบบในปี ค.ศ. 1961 โดย Arpad Nagy เพชรรูปสี่เหลี่ยมมีหน้าเพชรระหว่าง 49-144 หน้า เป็นเพชรที่เหมาะกับสุภาพบุรุษ เพราะสะท้อนความมีรูปแบบกฎเกณฑ์ มีข้อที่น่าสังเกตคือ เพชรสี่เหลี่ยม พริ้นเซสคัต จะมีอัตราค่าแรงในการเจียระไนค่อนข้างสูง เครื่องประดับชิ้นไหนถ้าเรียงด้วยเพชรพริ้นเซสคัต ราคาจะสูงกว่าเพชรกลมเหลี่ยมเกสร เมื่อเทียบในขนาดและน้ำหนักเพชรเท่ากัน

รูปสี่เหลี่ยมมรกต(Emerald Shape) เพชรรูปทรงนี้ เกิดขึ้นพร้อมกับศิลปะ art deco โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการเจียระไนมรกต ด้วยหน้าเพชรที่ลดหลั่นกัน รูปทรงนี้จะไม่ส่องประกายระยิบระยับ แต่จะให้ประกายส่ว่างใสได้มากกว่าการเจียระไนแบบอื่นๆ

รูปมาร์คีส์ (Marquise Shape) เพชรทรงมาคีส์ หรือเพชรทรงเมล็ดข้าวสาร เป็นเพชรที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเจียระไนเป็นพิเศษ ค่าแรงจึงสูงเป็นอันดับสองในกลุ่มเพชรแฟนซี เพชรทรงมาคีส์จะเหมือนเพชรทรงกลมที่ยืดตัวออกเป็นมุมแหลมในแนวตั้ง ในขณะเดียวกันก็เหมือนเพชรรูปไข่หรือเพชรรูปสี่เหลี่ยมที่เอามาตัดมุมออก และเป็นเพชรหยดน้ำที่เอามาต่อมุมด้านล่าง ความแปลกของรูปทรงมาคีส์ทำให้มาคีส์เป็นทรงเพชรที่ติดอันดับความนิยมเสมอมา แม้จะไม่อยู่ในอันดับต้นแต่ก็มีผู้นิยมไม่น้อย

เพชรทรงเรเดียนส์(Radiant Cut)ซึ่งเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมรกตแต่มีการเจียระไนทีเพิ่มเหลี่ยมมากขึ้น ทำให้เพชรส่องประกายมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการมีความคิดอิสระและความสร้างสรรค์

รูปทรงเพชรแต่ละประเภทก็สะท้อนความหมายที่แตกต่างกันออกไป นับเป็นความหลากหลายของ “เพชร” ซึ่งเป็นอัญมณีอันดับหนึ่งที่ทั้งโลกยกย่อง 

บทความดังกล่าวข้างต้นจัดทำโดยทีมงาน บริษัท เลนญ่า จิวเวลรี่ จำกัด ทางเราจึงขอสงวนสิทธิ์ การคัดลอกเนื้อหาทุกบทความของทางบริษัทฯ
กรณีต้องการนำข้อมูลไปใช้หรืออ้างอิง กรุณาติดต่อทีมงานค่ะผ่าน LINE: @LenyaJewelry ค่ะ