หลายต่อหลายครั้งที่ดวงตาของมนุษย์พยายามที่จะค้นหา และเสาะแสวงในสิ่งที่ตนเองปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความสุข ความจริง และความเข้าใจ…แต่น้อยครั้งนักที่เราจะพบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด รวมอยู่ในคนคนเดียว หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงสิ่งเดียว…ทว่า นั่นไม่ใช่ความผิดหวังที่คุณจะพบใน Amethyst อย่างแน่นอน!

Amethyst อัญมณีสีดอกตะแบก หรือพลอยสีม่วงจำปาศักดิ์ มีต้นกำเนิดทางภาษามาจากคำว่า Amethystos ของชาวกรีก ซึ่งมีความหมายตรงตัวตามคำในภาษานี้ว่า “ปราศจากความมึนเมา” ทั้งนี้เพราะคนโบราณมีความเชื่อกันมายาวนาน ตามตำนานเทพเจ้าของชาวกรีกและโรมันว่า Amethyst นั้นถือกำเนิดขึ้นมาจากร่างกายของหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา และสติปัญญาอันชาญฉลาด ยามเมื่อหล่อนต้องคำสาปจากเทพแห่งเมรัย แต่สุดท้ายแล้วเทพีอาเธน่า ราชินีแห่งสงครามก็นำพาหล่อนออกมาจากคำสาปได้สำเร็จ เทพแห่งสงครามสำนึกในความผิดของตน จึงได้ให้พรกับนางว่า ต่อไปนี้ Amethyst จะเป็นตัวแทนของความมีสติ และปราศจากซึ่งความมึนเมาทั้งจากสุรา และมายาจากทางโลก และด้วยเหตุนี้เอง Amethyst จึงได้ถูกนำมาเป็นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ของศาสนา และเป็นเครื่องประดับสำหรับชนชั้นสูง เฉกเช่นกษัตริย์ ราชินี และเชื้อพระวงศ์ นับตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ผ่านมาถึงยุคความรุ่งเรืองของกรีก และโรมัน ในศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา… 

แม้ปัจจุบันเราก็ยังพบเห็นอยู่เสมอๆ ว่า Amethyst ได้ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับกายของพระสันตะปาปา และพระชั้นสูง ในศาสนาคริสต์อยู่เสมอ และแม้ในตำนานโมเสสเอง เขาก็ได้นำเอา Amethyst มาทำเป็นเครื่องประดับสำหรับร่างกายของตนเองด้วยเช่นกัน และสำหรับเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์เอง ความนิยม Amethyst ก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมงกุฎของกษัตริย์อังกฤษหลากหลายราชวงศ์ หรือแม้แต่มงกุฎของราชินีผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัสเรีย เช่น พระนางแคทเธอรีน เป็นต้น

ความงามสง่าของ Amethyst ทำให้หินสีม่วงชนิดนี้ถูกยกย่องให้เป็นเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์เรื่อยมา จวบจนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่า Amethyst จะเป็นอัญมณีที่หาซื้อได้ทั่วไป สวมใส่ได้ทุกวัน ทุกโอกาส และสามารถมีไว้ในครอบครองได้ทุกเพศ ทุกวัย และทุกชนชั้น แต่กระนั้น ผู้ที่ได้ครอบครองอเมทิสต์ ก็ยังถือเป็นบุคคลพิเศษ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มี “รสนิยมสูง” อยู่นั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม Amethyst มิใช่แค่อัญมณีที่จะเน้นความสง่างามแก่ผู้สวมใส่เท่านั้น แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความงามสง่าของอเมทิสต์ยังมีความอ่อนหวาน เรียบง่าย และเปี่ยมไปด้วยพลังใจที่อ่อนโยน เฉกเช่นเจ้าหญิงผู้เพียบพร้อมไปด้วยความรัก ความเมตตา และความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใด Amethyst จึงถูกยกย่องให้เป็นอัญมณีแห่งเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนแห่งความรัก นั่นเอง…

หากแต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าความสง่างาม และความรักจากอัญมณีชนิดนี้ก็คือ “พลังแห่งสติปัญญา” ที่แฝงเร้นอยู่อย่างลงตัวในทุกเสี้ยวอณูของอัญมณีสีม่วงชนิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อ Amethyst ต้องความร้อน หรือถูกแสงแดดจัดจ้าเผาผลาญเป็นเวลานานจนเกิดความเปลี่ยนแปลง กลายเป็นสีเหลืองทอง สีเหลืองอมน้ำตาล กลายเป็นอัญมณีเลอค่าชนิดใหม่ที่เราเรียกกันว่า “ซิทริน” (Citrine) หรืออัมพันแห่งปัญญา นั่นเอง

ทั้งนี้ Amethyst ที่ถูกเปลี่ยนแปลงสภาพภายนอกจนกลายเป็นซิทรินนั้น นอกจากจะเป็นอัญมณีมีค่า และมีราคามากในอีกระดับหนึ่งแล้ว ยังมีผู้นิยมนำเอา Amethyst และ Citrine มาหลอมรวมกันอย่างละครึ่งส่วนในปริมาณที่เท่าเทียมกัน จนกลายเป็นอัญมณีอย่างใหม่ที่มีสีม่วงทอง ที่เรียกกันว่า Ametrine (Amethyst + Citrine) อีกด้วย…

แต่ไม่ว่า Amethyst, Citrine และ Ametrine จะมีความงดงามน่าปรารถนา ที่จะครอบครองไว้เป็นสมบัติติดกายแค่ไหน สิ่งสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้ามก็คือ “คุณสมบัติของความงาม” นั้น ควรค่า และสมราคา ที่คุณจะครอบครองไว้ หรือไม่ นั่นเอง…เทคนิคง่ายๆ ในการเลือกเครื่องประดับอัญมณี Amethyst ก็คือ คุณภาพของสี Amethyst ที่ดีที่สุดจะต้องมีสีม่วงเข้มสดใส มีความสม่ำเสมอของสี ทั่วทั้งเม็ดมีความสะอาด ปราศจากตำหนิ แม้จะมองดูด้วยแว่นขยายความละเอียดสูงถึง 10 เท่าก็ตาม นอกจากนี้เทคนิคการเจียระไน การออกแบบ เหลี่ยมมุมของอัญมณี การเล่นไฟ และดีไซน์ของรูปลักษณ์ก็มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน 

นอกจากนี้ ตามความเชื่อโบราณยังเชื่อกันอีกว่า ห้ามนำอัญมณี Amethyst ไปประดับคู่กับลูกปัดที่ด้อยค่ากว่า และการทำตัวเรือนของเครื่องประดับก็ห้ามคั่น Amethyst ด้วยโลหะใดๆ ทั้งสิ้น เพราะจะทำให้พลังของ Amethyst อ่อนลงด้วย นั่นเอง

บทความดังกล่าวข้างต้นจัดทำโดยทีมงาน บริษัท เลนญ่า จิวเวลรี่ จำกัด ทางเราจึงขอสงวนสิทธิ์ การคัดลอกเนื้อหาทุกบทความของทางบริษัทฯ
กรณีต้องการนำข้อมูลไปใช้หรืออ้างอิง กรุณาติดต่อทีมงานค่ะผ่าน LINE: @LenyaJewelry ค่ะ