ศิลปะบาร็อคถือกำเนิดขึ้นในราวศตวรรษที่ 17 คือประมาณปี ค.ศ. 1580 – 1750 ซึ่งสมัยนั้นยุโรปเกิดความแตกแยกทางสังคมอย่างใหญ่หลวง ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง ถูกเอารัดเอาเปรียบ และกดขี่ข่มเหงจากชนชั้นสูงค่อนข้างมาก จนเกิดความรู้สึกเคียดแค้น และกดดัน ในขณะที่ทางด้านศาสนาคริสต์ ที่พึ่งทางใจของผู้คน ก็เกิดการแก่งแย่งแข่งขันกันเองระหว่างนิยายโปแตสเตสแตนซ์ และโรมันคาทอริก หากทว่า ทั้งหมดนี้กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานของศิลปินแขนงต่างๆ จำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่ศิลปิน หรือนักออกแบบเครื่องประดับเองก็ตาม…

ในจำนวนประเทศมหาอำนาจทั้งหลายในยุโรป ฝรั่งเศสคือประเทศที่ศิลปะบาร็อคเจริญรุดหน้า และได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงหลงใหลความงามของเครื่องประดับชนิดต่างๆ อย่างมาก จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของศิลปะเครื่องประดับในฝรั่งเศสก็ว่าได้ (แม้ภายหลังจะกลายเป็นฉนวนเหตุแห่งสงครามกลางเมืองก็ตาม) 

ทั้งนี้ สำหรับรูปแบบของศิลปะบาร็อคในยุคแรกนั้น นิยมแสดงออกถึงความงามอันอ่อนช้อย นุ่มนวล และพลิ้วไหว ด้วยการใช้ลายเส้นที่โค้งงอ บิดเป็นเกลียว และเกี่ยวกระหวัด ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการนำใบไม้มาเป็นส่วนประกอบหลักในการออกแบบเครื่องประดับรูปทรงต่างๆ อาทิ การออกแบบต่างหู การออกแบบสร้อยคอและจี้ การออกแบบเครื่องประดับศีรษะ (กิ๊บหนีบผม มงกุฎ) และการออกแบบกำไลข้อมือ เป็นต้น โดยจะเน้นหลักความงาม และความหรูหราเป็นเลิศ บนพื้นฐานการออกแบบที่พลิ้วไหวของลายเส้น เช่น การออกแบบจี้ และสร้อยคอ ที่มีลักษณะบิดเป็นเกลียว ด้วยการจับเอาวัตถุมามัดรวมกัน โดยการผูกโยงด้วยริบบิ้น กับงานร้อยสรร้อยคอไข่มุก เป็นต้น นอกจากนี้ การประดับตกแต่งอัญมณีบนกำไลข้อมือ และสร้อยคอ แบบไม่เน้นหลักความสมมาตรในการออกแบบ ก็มีความโดดเด่นไม่น้อย โดยเฉพาะรูปแบบการเจียระไนพลอยแบบ Rose cut ซึ่งมีการแตกแขนงรูปแบบการเจียระไนออกไปได้มากมาย อาทิ Dutch rose cut, Brabant rose cut และ Half Dutch rose cut ซึ่งถือเป็นรูปแบบการเจียระไนพลอย เพื่อเพิ่มสีสัน และความงามในการออกแบบพื้นหลังให้มากยิ่งขึ้น นั่นเอง

ครั้นเมื่อผ่านช่วงเวลาย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 18 ศิลปะความงามแบบบาร็อคก็เริ่มเสื่อมความนิยมลง เมื่อรูปแบบศิลปะแนวใหม่ได้พัฒนาขึ้นจากของเดิม กลายเป็นรูปแบบศิลปะที่รู้จักกันในนามของ ศิลปะแบบโรโคโค นั่นเอง 

ศิลปะโรโคโคเฟื่องฟูอย่างมากในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยที่ 16 โดยรูปแบบของศิลปะโรโคโคนั้นจะพัฒนามาจากศิลปะบาร็อคอีกที คือยังเน้นที่ความเป็นธรรมชาติ มีการม้วนงอ ของรูปทรงใบไม้ และดอกไม้ต่างๆ แต่จะมีการนำวัสดุอื่นมาผสมผสานในการออกแบบเพิ่มเติม เช่น ไข่มุก และเปลือกหอย โดยลักษณะการออกแบบจะเน้นไปที่ความงามหรูหรา ที่เต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ และฟุ่มเฟือย มากกว่าศิลปะบาร็อคมากมายนัก โดยเฉพาะเครื่องประดับและอัญมณีที่ได้มาจากอินเดีย เช่น เพชร และไข่มุก ซึ่งมีราคาแพงมาก และได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชนชั้นสูงด้วยเช่นกัน…

อย่างไรก็ดี แม่ศิลปะบาร็อคและโรโคโคจะมีอายุไม่ยืนยาวนัก แต่ก็จัดได้ว่าเป็นยุคสมัยที่แฟชั่นเครื่องประดับได้รับความนิยมอย่างสูง อีกทั้งยังมีนักออกแบบ และนักสะสมเครื่องประดับเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้มากด้วยเช่นกัน.

 

 

บทความดังกล่าวข้างต้นจัดทำโดยทีมงาน บริษัท เลนญ่า จิวเวลรี่ จำกัด ทางเราจึงขอสงวนสิทธิ์ การคัดลอกเนื้อหาทุกบทความของทางบริษัทฯ
กรณีต้องการนำข้อมูลไปใช้หรืออ้างอิง กรุณาติดต่อทีมงานค่ะผ่าน LINE: @LenyaJewelry ค่ะ